อาหารแมคโครไบโอติกส์ถูกค้นพบโดยแพทย์ขาวญี่ปุ่นชื่อ ซาเกน อิชิซูกะ พบว่าเขาสามารถลดปัญหาสุขภาพได้ด้วยการใช้แนวทางอาหารแบบตะวันออกดั้งเดิมหรือแบบเซน ผสมผสานกับหลัการทางวิทยาศาสตร์ เช่นว่า การเน้นให้ผู้ป่วยกินอาหารประเภทธัญพืชและผัก หลีกเลี่ยงข้าวขัดขาวและผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำตาลที่ผ่านกรรมวิธี ต่อมาเขาได้เริ่มก่อตั้งสมาคม โชกุโยไค และมีนักเขียนผู้หนึ่งได้เผยแพร่ข้อความของอิชิซูกะ และนำมาปฏิบัติใช้จนตัวเขาเองหายจากวัณโรคได้ เขาได้นำหลักการของอิชิซูกะไปพัฒนาเป็นแนวทางอาหารแบบใหม่ เรียกว่า "แมคโครไบโอติกส์" แมคโครคือ ยิ่งใหญ่
ไบโอ คือ ชีวิต เพราะมีความเชื่อว่าอาหารแนวนี้จะเสริมสร้างสุขภาพให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขที่สุด แมคโครไบโอติกส์นั้นแม้จะเริ่มต้นขึ้นที่ญี่ปุ่นแต่มีพื้นฐานมาจากประเทศจีนโดยนำมาจากปรัชญาของ "หยินและหยาง" ที่เชื่อกันว่า ทุกสิ่งในธรรมชาติจะมี 2 ลักษณะด้านซึ่งช่วยให้ทุกสิ่งเสริมและสร้างโดยสมดุลกัน หยางจะแทนความแข็งแกร่ง พลังและความร้อน คนทุกคนมีความเป็นหยินและหยางในตัวเองเช่นเดียวกันกับอาหารแต่ละชนิดดังนั้น อาหารแมคโครไบโอติกส์ก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ปรับสมดุลความเป็นหยินและหยางในร่างกายของมนุษย์ให้ถูกต้อง
เชื่อกันว่าผู้ที่มีความเป็นหยินอยู่ในร่างกายจะมีบุคลิกที่ใจเย็น ผ่อนคลาย สงบ สร้างสรรค์ ส่วนผู้ที่มีหยางอยู่เป็นหลัก จะแคล่วคล่องว่องไว มีกำลังวังชา ละเอียดถี่ถ้วน เมื่อใดที่หยินและหยางสมดุลคนเรา
ก็จะมีสุขภาพที่ดี แต่ถ้าหยินและหยางมีความเหลื่อมล้ำต่างกันมากไป จะส่งผลให้เกิดการเจ็บป่วย
อุณหภูมิและสภาพลมฟ้าอากาศก็มีส่วนในเรื่องของหยินและหยางด้วยเช่นกัน อาหารที่เป็นหยางจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นและเสริมพละกำลัง ในฤดูหนาวหรือในช่วงที่อากาศชื้น ส่วนอาหารที่เป็นหยินจะช่วยปรับสมดุลให้เกิดความเย็นสดชื่นขึ้น อย่างไรก็ดีไม่แนะนำอาหารที่เป็นหยินหรือหยางรุนแรงเกินไปเช่น น้ำตาล เครื่องเทศ แอลกฮอล์ เนื้อสัตว์ ไข่ และ เนยแข็ง เพราะเชื่อกันว่าอาหารเหล่านี้ออกฤทธิ์ต่อระบบของร่างกายอย่างรุนแรง และจะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้ในที่สุด
ดังนั้นการปฏิบัติตามหลักแมคโครไบโอติกส์หากจะให้ได้ผลนั้นควรอย่างยิ่งที่จะควบคู่ไปกับการออกกำลังกายเบา ๆ ด้วย การปฏิบัติตามหลักของแมคโครไบโอติกส์อยู่เสมอเชื่อว่าจะช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายดีขึ้นสามารถป้องกันโรคต่าง ๆ ได้เกือบทุกชนิดและยากที่จะเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากความเสื่อมของร่างกาย(มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ) อาหารสูตรแมคโครไบโอติกส์ จะมีก็อาทิเช่น ธัญพืช เช่น ข้าวขัดสีน้อย ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวฟ่างแป้งไม่ขัดสีเป็นต้น ผัก ก็จะเป็นผักตามฤดูกาลต่าง ๆ ผลไม้ ได้ทุกประเภท ถั่วเมล็ดเช่นถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืช เครื่องปรุงรส เกลือทะเล ขิงมัสตาร์ด งากวนน้ำมัน หรือ ทาฮินา กระเทียม มะนาว น้ำแอปเปิ้ล น้ำไซเดอร์ น้ำมันประเภทน้ำมันตระกูลสกัดเย็นทั้งหมด แยมที่ไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนผสม
ติดตามต่อในอาหารแมคโครไบโอติกส์ภาค 2
วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2553
วิจารณ์น้ำดื่มกันสักนิด
มนุษย์เราทุกคน มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับน้ำอย่างพอเพียง แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่าน้ำแต่ละประเภทที่เราดื่มเข้าไป เป็นสภาพอย่างไร และร่างกายของเราจะได้รับน้ำที่ดีที่สุดหรือไม่
บทความนี้เป็นการเปรียบเทียบน้ำแต่ละประเภทเพื่อให้แต่ละท่านที่อ่านบทความนี้ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวของท่านเอง สุดแล้วแต่ท่านจะพิจารณา
น้ำดื่มที่ดีที่สุดจะต้องมีแร่ธาตุที่จำเป็นและสำคัญยิ่งดังต่อไปนี้
โพแทสเซียม
แมกนีเซียม
คลอไรด์ หรือ ซิงค์ (ตัวใดตัวหนึ่ง)
โซเดียม
แคลเซียม
อีกทั้งน้ำดื่มที่ดีจะต้องมีโมเลกุลเล็ก เพราะโมเลกุลเล็กน้ำจะสามารถนำพาสารอาหารที่จำเป็นส่งเข้าสู่ระบบกระแสเลือด และ เซลล์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าและใช้งานได้รวดเร็วดังจะเห็นจากภาพต่อไปนี้
หากจะให้วิจารณ์น้ำแต่ละประเภทคงจะได้แยกย่อยออกมาเป็นดังต่อไปนี้
น้ำฝน เดิมทีน้ำฝนถือเป็นน้ำทีสะอาด แต่สภาพโลกของเราในปัจจุบัน ไม่เอื้ออำนวยให้น้ำฝนสะอาดอีกต่อไป น้ำฝนย่อมพาเอาฝุ่นละอองและควันจากโรงงานมาด้วย อีกประการเราจะหาน้ำฝนที่สะอาดจริง ๆ แทบจะไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
น้ำอัดลม เป็นที่รู้กันดีว่า น้ำอัดลมผสมน้ำตาลหรือขัณฑสกรเข้าไปมากมาย การดื่มน้ำตาลเข้าไปในแต่ละครั้งร่างกายจะสูญเสีย วิตามิน และ เกลือแร่ที่จำเป็นต่าง ๆ ในการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายพร่องวิตามิน แถมยังเสี่ยงต่อความอ้วน ความรู้ใหม่มีอีกว่า น้ำอัดลมมีฟอสฟอรัสสูงมาก เมื่อดื่มเข้าไปจะไปดึงเอาแคลเซียมจากไขกระดูกมาเพื่อให้ร่างกายมนุษย์มีความเป็นด่างและความสมดุล ทำให้กระดูกผุกร่อนลงไป
น้ำอาร์โอ R.O. (Reverse Osmosis) คงจะต้องแจกแจงให้ทราบกันก่อนว่า กระบวนการผลิตน้ำอาร์โอ หรือ รีเวอร์ส ออสโมซิสนั้น ได้คัดกรองเอาส่วนที่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายออกไปจนหมดสิ้น เมื่อผ่านไฟฟ้าน้ำอาร์โอนั้นไม่สามารถเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ (ร่างกายมนุษย์เราเป็นประจุไฟฟ้า ขั้วบวก ขั้วลบตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกอย่างร่างกายมนุษย์ทั้งหมดมีค่าเป็นด่าง มีค่า PH ที่ 7.4 เด็กทารกจนถึงอายุ 8 ขวบจะมีค่า PH ของเลือดที่ 5.5 คนที่ทำงานอยู่บนเครื่องบินหรืออยู่ในเรือดำนำจะมีค่า PH ที่ 7.3 คนที่โรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัวจะมีค่า PH อยู่ที่ 7.2 คนใกล้ตายช็อคหมดสติจะมีค่า PH ที่ 7.1) ดังนั้นน้ำอาร์โอจึงมีความสะอาดสูงสุดคือไม่มีตะกอนใด ๆ ตกค้างอยู่ เป็นน้ำที่เหมาะจะผลิตเป็นน้ำกลั่นเติมรถยนต์ น้ำที่จะใช้ผสมในการผลิตยาร่วมกับสารอื่น ๆ เช่น แอลกฮอล์ล้างแผล ทิงเจอร์ไอโอดีน ยาแดง ฯลฯ ดังนั้นน้ำอาร์โอ จึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เหมาะแก่การดื่ม แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิดไปอย่างมาก เมื่อดื่มน้ำอาร์โอนาน ๆ เข้าเซลล์ต่างๆ ในร่างกายที่มีอยู่มากกว่า 60 ล้านล้านเซลล์จะสูญเสียเกลือแร่ ที่สำคัญได้แก่ แมกนีเซียม แกลเซียมซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อ และยังอาจสูญเสียแคลเซียมธาตุเหล็กและเกลือแร่ อณูเล็ก ๆ ของแต่ละเซลล์ในร่างกายจึงมีสภาพเสื่อมและโรคหลายโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายเช่นกัน
น้ำต้ม สะอาด ปราศจากเชื้อโรค แต่แร่ธาตุที่จำเป็นทั้ง 5 อย่างก็อาจจะไม่ครบด้วยเช่นกัน
น้ำแร่ สมัยนี้มีทั้งน้ำแร่ธรรมชาติ กับน้ำแร่ที่เพียงแต่เอาน้ำธรรมดาแล้วเติมเกลือแร่เข้าไป ถ้าเป็นน้ำแร่ที่ดีจะต้องมีแร่ธาตุจำเป็นทั้ง 5 อย่างเพื่อความสมดุลของร่างกาย และปัจจุบันยังมีน้ำแร่พลังแม่เหล็ก ที่มีโมเลกุล 6 เหลี่ยมให้เราได้เลือกอีกเช่นกัน (แต่ในส่วนของเรื่องน้ำแร่พลังแม่เหล็กจะนำข้อมูลมาเสนอในโอกาสต่อไป)
น้ำประปา ไม่เหมาะต่อการนำมาดื่มกินเนื่องจากน้ำประปานั้นมีคลอรีนสูง การสะสมคลอรีนไว้ในร่างกายระยะยาวเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้เช่นกัน
ภาพถ่ายโมเลกุลน้ำประปาในกรุงเทพ ไม่สามารถแบ่งเป็นโมเลกุลได้
ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นน้ำดื่มโดยไม่ผ่านการกรอง
ติดตามต่อ ในวิจารณ์น้ำ ภาค 2
บทความนี้เป็นการเปรียบเทียบน้ำแต่ละประเภทเพื่อให้แต่ละท่านที่อ่านบทความนี้ได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวของท่านเอง สุดแล้วแต่ท่านจะพิจารณา
น้ำดื่มที่ดีที่สุดจะต้องมีแร่ธาตุที่จำเป็นและสำคัญยิ่งดังต่อไปนี้
โพแทสเซียม
แมกนีเซียม
คลอไรด์ หรือ ซิงค์ (ตัวใดตัวหนึ่ง)
โซเดียม
แคลเซียม
อีกทั้งน้ำดื่มที่ดีจะต้องมีโมเลกุลเล็ก เพราะโมเลกุลเล็กน้ำจะสามารถนำพาสารอาหารที่จำเป็นส่งเข้าสู่ระบบกระแสเลือด และ เซลล์ต่าง ๆ ได้ดีกว่าและใช้งานได้รวดเร็วดังจะเห็นจากภาพต่อไปนี้
สุดยอดของน้ำ ที่มีโมเลกุล 6 เหลี่ยมดีที่สุดในการดื่มและได้ประโยชน์สูงสุด
โมเลกุลที่เล็กจะนำพาสารอาหารต่าง ๆ เข้าไปในเซลล์เพื่อใช้งานได้ทันที
หากจะให้วิจารณ์น้ำแต่ละประเภทคงจะได้แยกย่อยออกมาเป็นดังต่อไปนี้
น้ำฝน เดิมทีน้ำฝนถือเป็นน้ำทีสะอาด แต่สภาพโลกของเราในปัจจุบัน ไม่เอื้ออำนวยให้น้ำฝนสะอาดอีกต่อไป น้ำฝนย่อมพาเอาฝุ่นละอองและควันจากโรงงานมาด้วย อีกประการเราจะหาน้ำฝนที่สะอาดจริง ๆ แทบจะไม่ได้แล้วในปัจจุบัน
น้ำอัดลม เป็นที่รู้กันดีว่า น้ำอัดลมผสมน้ำตาลหรือขัณฑสกรเข้าไปมากมาย การดื่มน้ำตาลเข้าไปในแต่ละครั้งร่างกายจะสูญเสีย วิตามิน และ เกลือแร่ที่จำเป็นต่าง ๆ ในการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ทำให้ร่างกายพร่องวิตามิน แถมยังเสี่ยงต่อความอ้วน ความรู้ใหม่มีอีกว่า น้ำอัดลมมีฟอสฟอรัสสูงมาก เมื่อดื่มเข้าไปจะไปดึงเอาแคลเซียมจากไขกระดูกมาเพื่อให้ร่างกายมนุษย์มีความเป็นด่างและความสมดุล ทำให้กระดูกผุกร่อนลงไป
น้ำอาร์โอ R.O. (Reverse Osmosis) คงจะต้องแจกแจงให้ทราบกันก่อนว่า กระบวนการผลิตน้ำอาร์โอ หรือ รีเวอร์ส ออสโมซิสนั้น ได้คัดกรองเอาส่วนที่เป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายออกไปจนหมดสิ้น เมื่อผ่านไฟฟ้าน้ำอาร์โอนั้นไม่สามารถเป็นสื่อนำไฟฟ้าได้ (ร่างกายมนุษย์เราเป็นประจุไฟฟ้า ขั้วบวก ขั้วลบตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกอย่างร่างกายมนุษย์ทั้งหมดมีค่าเป็นด่าง มีค่า PH ที่ 7.4 เด็กทารกจนถึงอายุ 8 ขวบจะมีค่า PH ของเลือดที่ 5.5 คนที่ทำงานอยู่บนเครื่องบินหรืออยู่ในเรือดำนำจะมีค่า PH ที่ 7.3 คนที่โรคเบาหวานเป็นโรคประจำตัวจะมีค่า PH อยู่ที่ 7.2 คนใกล้ตายช็อคหมดสติจะมีค่า PH ที่ 7.1) ดังนั้นน้ำอาร์โอจึงมีความสะอาดสูงสุดคือไม่มีตะกอนใด ๆ ตกค้างอยู่ เป็นน้ำที่เหมาะจะผลิตเป็นน้ำกลั่นเติมรถยนต์ น้ำที่จะใช้ผสมในการผลิตยาร่วมกับสารอื่น ๆ เช่น แอลกฮอล์ล้างแผล ทิงเจอร์ไอโอดีน ยาแดง ฯลฯ ดังนั้นน้ำอาร์โอ จึงถูกเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำที่สะอาดบริสุทธิ์ที่สุด เหมาะแก่การดื่ม แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิดไปอย่างมาก เมื่อดื่มน้ำอาร์โอนาน ๆ เข้าเซลล์ต่างๆ ในร่างกายที่มีอยู่มากกว่า 60 ล้านล้านเซลล์จะสูญเสียเกลือแร่ ที่สำคัญได้แก่ แมกนีเซียม แกลเซียมซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของหัวใจและกล้ามเนื้อ และยังอาจสูญเสียแคลเซียมธาตุเหล็กและเกลือแร่ อณูเล็ก ๆ ของแต่ละเซลล์ในร่างกายจึงมีสภาพเสื่อมและโรคหลายโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกายเช่นกัน
น้ำต้ม สะอาด ปราศจากเชื้อโรค แต่แร่ธาตุที่จำเป็นทั้ง 5 อย่างก็อาจจะไม่ครบด้วยเช่นกัน
น้ำแร่ สมัยนี้มีทั้งน้ำแร่ธรรมชาติ กับน้ำแร่ที่เพียงแต่เอาน้ำธรรมดาแล้วเติมเกลือแร่เข้าไป ถ้าเป็นน้ำแร่ที่ดีจะต้องมีแร่ธาตุจำเป็นทั้ง 5 อย่างเพื่อความสมดุลของร่างกาย และปัจจุบันยังมีน้ำแร่พลังแม่เหล็ก ที่มีโมเลกุล 6 เหลี่ยมให้เราได้เลือกอีกเช่นกัน (แต่ในส่วนของเรื่องน้ำแร่พลังแม่เหล็กจะนำข้อมูลมาเสนอในโอกาสต่อไป)
น้ำประปา ไม่เหมาะต่อการนำมาดื่มกินเนื่องจากน้ำประปานั้นมีคลอรีนสูง การสะสมคลอรีนไว้ในร่างกายระยะยาวเกินไปอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้เช่นกัน
ภาพถ่ายโมเลกุลน้ำประปาในกรุงเทพ ไม่สามารถแบ่งเป็นโมเลกุลได้
ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นน้ำดื่มโดยไม่ผ่านการกรอง
โมเลกุลของน้ำเมื่อผ่านคลื่นโทรศัพท์มือถือ ไม่สามารถจับตัวเป็นโมเลกุลได้
ไม่เหมาะที่จะนำมาดื่ม
น้ำที่ผ่านคลื่นจากโทรทัศน์ ไม่สามารถแบ่งตัวเป็นโมเลกุลได้
ไม่เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำมาดื่ม
ติดตามต่อ ในวิจารณ์น้ำ ภาค 2
น้ำกับความสำคัญต่อร่างกายมนุษย์
อย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ ทราบกันถึงความสำคัญของน้ำดื่ม
น้ำเป็นส่วนประประกอบที่สำคัญในร่างกายมนุษย์โดยแบ่งออกดังต่อไปนี้
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 97%
ตั้งแต่เป็นทารกหลังคลอดน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80%
เมื่อเราเติบโตขึ้นน้ำเป็นส่วนประกอบในร่างกายมากกว่า 70%
เมื่อเราแก่ตัวลงน้ำจะเป็นส่วนประกอบในร่างกายมากกว่า 60%
เมื่อมนุษย์อายุตั้งแต่ 99 ปีขึ้นไปน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 50%
ดังนั้นน้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละช่วงชีวิตช่วงวัย
น้ำเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้เป็นไป
ได้อย่างปกติ นอกเหนือจากนี้ น้ำยังช่วยละลายวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์
รวมไปถึงการนำพาสารอาหารให้ไหลเวียนไปตามเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ระบบการ
จัดสรรปันส่วนน้ำอย่างเหมาะสมของร่างกาย น้ำต่อความสำคัญในร่างกายจึงแบ่งออก
เป็นเช่นดังต่อไปนี้
ระบบการทำงานของ สมอง 75%
ระบบการทำงานของ หัวใจ 75%
ระบบการทำงานของ ปอด 86%
ระบบการทำงานของ ตับ 86%
ระบบการทำงานของ ไต 83%
ระบบการทำงานของ กระเพาะ 73%
ระบบการทำงานของ ลำไส้ 73%ะ
ระบบการทำงานของ กล้ามเนื้อ 75%
ระบบการทำงานของ เลือด 83%
ระบบการทำงานของ กระดูก 22%
น้ำจะนำพาสารเคมีต่าง ๆ เช่นวิตามิน เกลือแร่ ฮอร์โมนและเอนไซม์ที่ถูกนำพาไปนั้น
จะไปถึงอวัยวะที่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก ๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต และปอด นอกจาก
นี้น้ำยังมีส่วนในการนำพาสารเคมีที่ผลิตและหลั่งออกจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและ
ปล่อยออกมาเป็นของเหลว
บทบาทที่สำคัญของน้ำในร่างกาย
น้ำช่วยสร้างพลังงาน และพลังงานนี้จะถูกสะสมอยู่ในร่างกายโดยร่วมกับสารเคมี
อื่น ๆที่เป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย พลังงานที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำในเซลล์จะช่วยส่ง
กระแสกระตุ้นเซลล์ประสาทในส่วนต่างๆ
น้ำช่วยสารสารที่มีลักษณะคล้ายกาวซึ่งจะช่วยเชื่อมประสานผนังเซลล์ให้ยึดติด
กันได้เป็นอย่างดี
น้ำช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผนังอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย
น้ำช่วยรักษาปริมาณและระดับความเข้มข้นของของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด
น้ำเหลือง ให้เป็นความสมดุลและเป็นปกติ
น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ขับถ่ายสารพิษและสารอันตรายออกจากตัว
ของเราโดยผ่านทางปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจ (จำไว้ว่าสารเคมีประเภทโลหะเบา
จะถูกกำจัดทางปัสสาวะ สารเคมีประเภทโลหะหนักจะขับผ่านทางอุจจาระ)
ช่วยทำให้เราไม่มีอาการท้องผูก หากดื่มน้ำเพียงพอ
น้ำช่วยไตในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ยาและสารพิษต่าง ๆ ที่ตกค้างในไต
น้ำช่วยบำรุงรักษาและหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย
น้ำมีส่วนกับโปรตีนและเอนไซม์จะทำงานได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภายในร่างกายของ
เรามีน้ำอย่างเพียงพอต่อการใช้งาน
น้ำจะช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร
ภาวะขาดน้ำจะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร?
ภาวะขาดน้ำจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระดับของโพแทสเซียม
โซเดียม และคลอไรด์ในร่างกายไม่สมดุล โดยปกติแล้วภาวะขาดน้ำจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสีย
น้ำอย่างรวดเร็ว จากอาการไข้ ท้องร่วง และอาเจียน เป็นต้น
เมื่อร่างกายของเราประสบภาวะขาดน้ำเราจะรู้สึกกระหายน้ำ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุ่น ผิวแห้ง
ปัสสาวะน้อยลง อารมณ์ฉุนเฉียว และสับสน อาการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะแสดงออกมาเมื่อร่างกายไม่สามารถจัดสรรปันส่วนน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย
สัญญาณการขาดน้ำ
ความรู้สึกกระหายน้ำเป็นอาการแรกที่ร่างกายจะแสดงออกมาเมื่อได้รับน้ำไม่เพียงพอแต่ในกรณีที่ภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นกับบางส่วนของร่างกาย เราอาจจะไม่รู้สึกกระหายน้ำเลยก็เป็นไปได้แต่
การที่อวัยวะสำคัญแต่ละส่วนได้รับน้ำไม่เพียงพอจะส่งผลให้อวัยวะนั้นทำงานผิดพลาด อาการหรือ
สัญญาณต่าง ๆ ที่ร่างกายแสดงออกมาจะขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ การเจ็บป่วยเรื้อรังและอาการแพ้ต่างๆ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเมื่ออวัยวะบางส่วนทำงานได้อย่างจำกัดเนื่องจากภาวะขาดน้ำเรื้อรัง เมื่ออวัยวะใด ๆ ก็ตามเกิดการขาดน้ำสมองจะควบคุมการใช้น้ำโดยหลั่งสารฮิสตามีนออกมาระบบจัดสรรปันส่วนน้ำจะเริ่มทำงาน อาการปวด เป็นอาการที่บอกให้รู้ได้ว่าอวัยวะบางส่วนประสบภาวะขาดน้ำ อาการปวดที่พบได้บ่อยเนื่องจากการขาดน้ำคือ อาการปวดท้องหลังอาหาร อาการปวดศรีษะ เจ็บหน้าอก ปวดตามข้อ และปวดหลัง
จะทำอย่างไรถึงจะดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ?
ผุ้ชายโดยปกติทั่วไปจะต้องการน้ำอยู่ประมาณเฉลี่ย 3 - 3.5 ลิตร ต่อวัน ผู้หญิงจะต้องการน้ำโดยประมาณเฉลี่ย 2.5 - 3 ลิตรต่อวัน เด็กเฉลี่ยประมาณ 2 - 2.5 ลิตรต่อวัน
อาจจะมีความรู้สึกยุ่งยากว่าการดื่มน้ำนั้นอาจจะไม่เพียงพอ อาจทำให้สมบูรณ์ได้โดยการแบ่งช่วงของการดื่มน้ำดังนี้
ก่อนนอน 2 แก้ว โดยทั้ง 2 แก้วจะมีปริมาณขั้นต่ำ 250 มล.
ตื่นนอน 2 - 3 แก้ว ให้ได้อย่างต่ำ 500 - 750 มล.
ในช่วงเวลา 2 - 3 ชม. ให้จิบน้ำไปเรื่อย ๆ ให้ได้ประมาณ เท่ากับ 6 แก้ว โดยแต่ละแก้ว
เฉลี่ยแก้วละ 250 มล. (ดื่มครึ่งเช้่า 3 แก้ว ช่วงบ่ายหลังทานอาหาร 1 ชม. อีก 3 แก้ว)
การดื่มน้ำไม่ควรจะดื่มแบบรวดเดียวหมดทั้งแก้ว ควรใช้วิธี จิบแล้วอมไว้สักครู่เพื่อให้น้ำและเอนไซม์ของน้ำลายผสมกัน ในช่วงของการทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำระหว่างทานอาหารเนื่องจาก
การผลิตน้ำย่อยจะไปปนกับน้ำ ทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารเป็นไปได้ไม่ดี เราจึงควรดื่มน้ำก่อนการทานอาหารอย่างน้อยสักชั่วโมงครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง หรือ ดื่มน้ำหลังจากการทานอาหาร ในช่วง สิบนาทีหลังการทานอาหารหรือจะให้ดีที่สุดคือ สาม ชั่วโมงหลังการรับประทานอาหาร
เมื่อเราเป็นไข้ เราจะต้องดื่มน้ำ มาก ๆ เพื่อลดอุหณภูมิของร่างกาย จำเป็นที่จะต้องจิบน้ำให้ได้ 1 แก้ว ต่อ 1 ชม. เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป และน้ำจะทำให้ร่างกายเย็นลง และที่สำคัญน้ำ
จะทำให้เสมหะลดความหนืดความเหนียวลง
การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้กากใยอาหารเคลื่อนตัวไปยังลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำควรดื่มน้ำให้ได้ขั้นต่ำวันละ 10 - 12 แก้ว
หากคุณเป็นโรคเกาต์ คุณควรที่จะดื่มน้ำมาก ๆ กว่าปกติ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารที่มีพิวรีนสูง จำพวก ปลาซาร์ดีน สัตว์ทะเลต่าง ๆ
หากคุณเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยในการย่อยและนำพากากใยอาหาร
เมื่อคุณติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่ว่าจะเพศใด คุณควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยในการนำสารพิษ สารเคมี เชื้อโรค แบคทีเรียต่าง ๆ โดยขับออกไปพร้อมกับปัสสาวะ และหายได้เร็ว
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้อต่อ หรือปวดกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ
กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด เคลื่อนไหวไม่สะดวกหรือรุนแรงจนทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อเกิดการเสื่อม ผู้ที่เป็นโรคประเภทเหล่านี้ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือดและระดับของกรดยูริกที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปตามปัสสาวะ
วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง
น้ำเป็นส่วนประประกอบที่สำคัญในร่างกายมนุษย์โดยแบ่งออกดังต่อไปนี้
ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 97%
ตั้งแต่เป็นทารกหลังคลอดน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 80%
เมื่อเราเติบโตขึ้นน้ำเป็นส่วนประกอบในร่างกายมากกว่า 70%
เมื่อเราแก่ตัวลงน้ำจะเป็นส่วนประกอบในร่างกายมากกว่า 60%
เมื่อมนุษย์อายุตั้งแต่ 99 ปีขึ้นไปน้ำเป็นส่วนประกอบมากกว่า 50%
ดังนั้นน้ำจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในแต่ละช่วงชีวิตช่วงวัย
น้ำเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายให้เป็นไป
ได้อย่างปกติ นอกเหนือจากนี้ น้ำยังช่วยละลายวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์
รวมไปถึงการนำพาสารอาหารให้ไหลเวียนไปตามเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย ระบบการ
จัดสรรปันส่วนน้ำอย่างเหมาะสมของร่างกาย น้ำต่อความสำคัญในร่างกายจึงแบ่งออก
เป็นเช่นดังต่อไปนี้
ระบบการทำงานของ สมอง 75%
ระบบการทำงานของ หัวใจ 75%
ระบบการทำงานของ ปอด 86%
ระบบการทำงานของ ตับ 86%
ระบบการทำงานของ ไต 83%
ระบบการทำงานของ กระเพาะ 73%
ระบบการทำงานของ ลำไส้ 73%ะ
ระบบการทำงานของ กล้ามเนื้อ 75%
ระบบการทำงานของ เลือด 83%
ระบบการทำงานของ กระดูก 22%
น้ำจะนำพาสารเคมีต่าง ๆ เช่นวิตามิน เกลือแร่ ฮอร์โมนและเอนไซม์ที่ถูกนำพาไปนั้น
จะไปถึงอวัยวะที่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก ๆ เช่น สมอง หัวใจ ไต และปอด นอกจาก
นี้น้ำยังมีส่วนในการนำพาสารเคมีที่ผลิตและหลั่งออกจากอวัยวะต่างๆ ในร่างกายและ
ปล่อยออกมาเป็นของเหลว
บทบาทที่สำคัญของน้ำในร่างกาย
น้ำช่วยสร้างพลังงาน และพลังงานนี้จะถูกสะสมอยู่ในร่างกายโดยร่วมกับสารเคมี
อื่น ๆที่เป็นแหล่งพลังงานในร่างกาย พลังงานที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำในเซลล์จะช่วยส่ง
กระแสกระตุ้นเซลล์ประสาทในส่วนต่างๆ
น้ำช่วยสารสารที่มีลักษณะคล้ายกาวซึ่งจะช่วยเชื่อมประสานผนังเซลล์ให้ยึดติด
กันได้เป็นอย่างดี
น้ำช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผนังอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย
น้ำช่วยรักษาปริมาณและระดับความเข้มข้นของของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด
น้ำเหลือง ให้เป็นความสมดุลและเป็นปกติ
น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ขับถ่ายสารพิษและสารอันตรายออกจากตัว
ของเราโดยผ่านทางปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจ (จำไว้ว่าสารเคมีประเภทโลหะเบา
จะถูกกำจัดทางปัสสาวะ สารเคมีประเภทโลหะหนักจะขับผ่านทางอุจจาระ)
ช่วยทำให้เราไม่มีอาการท้องผูก หากดื่มน้ำเพียงพอ
น้ำช่วยไตในการขจัดของเสียออกจากร่างกาย ยาและสารพิษต่าง ๆ ที่ตกค้างในไต
น้ำช่วยบำรุงรักษาและหล่อลื่นข้อต่อต่าง ๆ ในร่างกาย
น้ำมีส่วนกับโปรตีนและเอนไซม์จะทำงานได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภายในร่างกายของ
เรามีน้ำอย่างเพียงพอต่อการใช้งาน
น้ำจะช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร
ภาวะขาดน้ำจะส่งผลต่อร่างกายอย่างไร?
ภาวะขาดน้ำจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสียน้ำอย่างรุนแรง ส่งผลให้ระดับของโพแทสเซียม
โซเดียม และคลอไรด์ในร่างกายไม่สมดุล โดยปกติแล้วภาวะขาดน้ำจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายสูญเสีย
น้ำอย่างรวดเร็ว จากอาการไข้ ท้องร่วง และอาเจียน เป็นต้น
เมื่อร่างกายของเราประสบภาวะขาดน้ำเราจะรู้สึกกระหายน้ำ ผิวหนังไม่มีความยืดหยุ่น ผิวแห้ง
ปัสสาวะน้อยลง อารมณ์ฉุนเฉียว และสับสน อาการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของกลไกตามธรรมชาติของร่างกายที่จะแสดงออกมาเมื่อร่างกายไม่สามารถจัดสรรปันส่วนน้ำที่มีอยู่น้อยนิดให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ในร่างกาย
สัญญาณการขาดน้ำ
ความรู้สึกกระหายน้ำเป็นอาการแรกที่ร่างกายจะแสดงออกมาเมื่อได้รับน้ำไม่เพียงพอแต่ในกรณีที่ภาวะขาดน้ำเกิดขึ้นกับบางส่วนของร่างกาย เราอาจจะไม่รู้สึกกระหายน้ำเลยก็เป็นไปได้แต่
การที่อวัยวะสำคัญแต่ละส่วนได้รับน้ำไม่เพียงพอจะส่งผลให้อวัยวะนั้นทำงานผิดพลาด อาการหรือ
สัญญาณต่าง ๆ ที่ร่างกายแสดงออกมาจะขึ้นอยู่กับอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ การเจ็บป่วยเรื้อรังและอาการแพ้ต่างๆ เป็นอาการที่พบได้บ่อยเมื่ออวัยวะบางส่วนทำงานได้อย่างจำกัดเนื่องจากภาวะขาดน้ำเรื้อรัง เมื่ออวัยวะใด ๆ ก็ตามเกิดการขาดน้ำสมองจะควบคุมการใช้น้ำโดยหลั่งสารฮิสตามีนออกมาระบบจัดสรรปันส่วนน้ำจะเริ่มทำงาน อาการปวด เป็นอาการที่บอกให้รู้ได้ว่าอวัยวะบางส่วนประสบภาวะขาดน้ำ อาการปวดที่พบได้บ่อยเนื่องจากการขาดน้ำคือ อาการปวดท้องหลังอาหาร อาการปวดศรีษะ เจ็บหน้าอก ปวดตามข้อ และปวดหลัง
จะทำอย่างไรถึงจะดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ?
ผุ้ชายโดยปกติทั่วไปจะต้องการน้ำอยู่ประมาณเฉลี่ย 3 - 3.5 ลิตร ต่อวัน ผู้หญิงจะต้องการน้ำโดยประมาณเฉลี่ย 2.5 - 3 ลิตรต่อวัน เด็กเฉลี่ยประมาณ 2 - 2.5 ลิตรต่อวัน
อาจจะมีความรู้สึกยุ่งยากว่าการดื่มน้ำนั้นอาจจะไม่เพียงพอ อาจทำให้สมบูรณ์ได้โดยการแบ่งช่วงของการดื่มน้ำดังนี้
ก่อนนอน 2 แก้ว โดยทั้ง 2 แก้วจะมีปริมาณขั้นต่ำ 250 มล.
ตื่นนอน 2 - 3 แก้ว ให้ได้อย่างต่ำ 500 - 750 มล.
ในช่วงเวลา 2 - 3 ชม. ให้จิบน้ำไปเรื่อย ๆ ให้ได้ประมาณ เท่ากับ 6 แก้ว โดยแต่ละแก้ว
เฉลี่ยแก้วละ 250 มล. (ดื่มครึ่งเช้่า 3 แก้ว ช่วงบ่ายหลังทานอาหาร 1 ชม. อีก 3 แก้ว)
การดื่มน้ำไม่ควรจะดื่มแบบรวดเดียวหมดทั้งแก้ว ควรใช้วิธี จิบแล้วอมไว้สักครู่เพื่อให้น้ำและเอนไซม์ของน้ำลายผสมกัน ในช่วงของการทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำระหว่างทานอาหารเนื่องจาก
การผลิตน้ำย่อยจะไปปนกับน้ำ ทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารเป็นไปได้ไม่ดี เราจึงควรดื่มน้ำก่อนการทานอาหารอย่างน้อยสักชั่วโมงครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง หรือ ดื่มน้ำหลังจากการทานอาหาร ในช่วง สิบนาทีหลังการทานอาหารหรือจะให้ดีที่สุดคือ สาม ชั่วโมงหลังการรับประทานอาหาร
เมื่อเราเป็นไข้ เราจะต้องดื่มน้ำ มาก ๆ เพื่อลดอุหณภูมิของร่างกาย จำเป็นที่จะต้องจิบน้ำให้ได้ 1 แก้ว ต่อ 1 ชม. เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป และน้ำจะทำให้ร่างกายเย็นลง และที่สำคัญน้ำ
จะทำให้เสมหะลดความหนืดความเหนียวลง
การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้กากใยอาหารเคลื่อนตัวไปยังลำไส้ใหญ่ได้ง่ายขึ้น ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกเป็นประจำควรดื่มน้ำให้ได้ขั้นต่ำวันละ 10 - 12 แก้ว
หากคุณเป็นโรคเกาต์ คุณควรที่จะดื่มน้ำมาก ๆ กว่าปกติ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ทั้งหลาย รวมทั้งอาหารที่มีพิวรีนสูง จำพวก ปลาซาร์ดีน สัตว์ทะเลต่าง ๆ
หากคุณเป็นโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อช่วยในการย่อยและนำพากากใยอาหาร
เมื่อคุณติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ไม่ว่าจะเพศใด คุณควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยในการนำสารพิษ สารเคมี เชื้อโรค แบคทีเรียต่าง ๆ โดยขับออกไปพร้อมกับปัสสาวะ และหายได้เร็ว
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคข้อต่อ หรือปวดกล้ามเนื้อ ผู้ที่มีอาการเกี่ยวข้องกับการบวมของข้อต่อ
กล้ามเนื้อ ผิวบริเวณข้อต่อ จะทำให้รู้สึกปวด เคลื่อนไหวไม่สะดวกหรือรุนแรงจนทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อเกิดการเสื่อม ผู้ที่เป็นโรคประเภทเหล่านี้ควรดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยเจือจางเลือดและระดับของกรดยูริกที่ปะปนอยู่ในเลือดให้ถูกขับออกไปตามปัสสาวะ
วันนี้คุณดื่มน้ำเพียงพอแล้วหรือยัง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)